ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพลังงาน : น้ำมันดิบ

- น้ำมันที่ออกมาจากใต้ดินโดยตรง เรียกว่า น้ำมันดิบ
- มักมีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม แต่ก็มีน้ำมันสีเขียว สีแดง หรือน้ำตาลผิดแผกไปเช่นกัน
- น้ำมันชนิดหนักจะข้นหนืด ในขณะที่น้ำมันชนิดเบาจะบางและเบาจนลอยเหนือน้ำได้
- น้ำมันดิบมักเป็นส่วนผสมของสิ่งต่อไปนี้
     1.ของเหลว เช่น เคโรซีนและก๊าซโซลีน
     2.วัสดุข้นหนืด เช่น บิทูเมน* (ยางมะตอย)
     3.ก๊าซ เช่น โพรเพน บิวเทน และมีเทน ซึ่งปรากฎในน้ำมันดิบเป็นฟองเล็กจิ๋วจำนวนมหาศาล ทำให้น้ำมันมีเนื้อเหลวยิ่งขึ้น
   
*บิทูเมน = เป็นน้ำมันดิบสีดำ หนืดข้นที่ใช้คลุมผิวถนน



แหล่งน้ำมันรั่วไหล

1.แท่นขุดเจาะน้ำมัน
2.เรือบรรทุกน้ำมัน
3.ฐานบนชายฝั่ง
4โรงกลั่นน้ำมัน

The Prestige

 

     ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกน้ำมันชื่อ เดอะ เพรสทีจ ( The Prestige) ได้จมลงบริเวณชายฝั่งประเทศสเปน ทำให้เกิดน้ำมันรั่วไหลเป็นปริมาณมหาศาล ในขณะที่น้ำมันอีก 77,000 ตัน จมลงสู่ก้นมหาสมุทรพร้อมกับตัวเรือ มีนกทะเลตายเป็นจำนวนมากหลายพันตัว ระหว่างที่แนวชายฝั่งยาว 900 กิโลเมตรได้รับผลกระทบ

มลพิษจากน้ำมัน

     น้ำมันก่อมลพิษให้กับอากาศเมื่อเผาไหม้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นการเพิ่มปัญหาภาวะโลกร้อน โรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงและยวดยานพาหนะต่างๆยังปล่อยก๊าซซัลเฟอร์กับก๊าซไนโตรเจน ซึ่งลอยสูงขึ้นไปในอากาศและละลายปะปนกับหยดน้ำ ทำให้เกิดฝนกรดที่สร้างความเสียหายให้กับแม่น้ำและป่าไม้
     น้ำมันที่หกลงในแม่น้ำหรือมหาสมุทร อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ การสำรวจขุดเจาะน้ำมันยังอาจทำความรบกวนให้กับถิ่นที่อยู่อาศัยบนบกและในมหาสมุทร อย่างไรก็ดี เทคนิคการขุดเจาะใหม่ๆทำให้บ่อน้ำมันแห่งเดียวสามารถผลิตน้ำมันได้จากพื้นที่บริเวณกว้างขึ้น ทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆก็ช่วยลดจำนวนและขนาดของพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขุดเจาะได้ด้วย

น้ำมันคืออะไร ?



น้ำมันคืออะไร ? 
     น้ำมันดิบ (Crude oil) ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปิโตรเลียม หรือ เบนซิน (หมายความว่า "หินน้ำมัน" (rock oil) ในภาษาละติน)  คือซากที่กลายเป็นหินของสิ่งมีชีวิตตัวกระจิริดในทะเลและพืชที่เรียกว่า แพลงก์ตอน ซึ่งลอยอยู่ในมหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีก่อน
     เมื่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วเหล่านี้ตายลง ซากร่างของพวกมันจะจมลงสู่ก้นสมุทร เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี ซากที่เน่าเปื่อยผุพังก็จะกลายเป็นฟอสซิลซึ่งถูกป่นหักและถูกหุงด้วยความร้อนใต้ดินทำให้กลายเป็นน้ำมัน น้ำมันดิบเหล่านี้อยู่ลึกลงไปใต้ดินและพบได้หลายแห่งทั่วโลก แม้ว่าสีสันและความข้นของน้ำมันในแต่ละที่จะแตกต่างกันก็ตาม